ที่มา : บทความนี้นำมากจาก http://alittleparfait.wordpress.com/
ตอนนี้คนเขียนอยู่ฮาร์วาร์ดแล้ว เล่มนี้มีแปลเป็นไทย
ชื่อว่า เรียน 9 ได้ 10 เก่งอังกฤษขั้นเทพ ของอมรินทร์
เป็นเล่มที่ชอบมาก ขนาดว่าที่บ้านมี 2 เล่มคือของเราและน้องสาว
เป็นหนังสือเล่มแรก ที่ซื้อมา 2 เล่ม พร้อมกันกับน้อง
(ตอนจ่ายเงิน คนขายก็มองงงๆ)
มาว่ากันถึงความสำคัญของ SAT สักนิด คิดว่าทุกคนก็คงรู้แล้วว่า ไม่ว่าเราจะสมัครอินเตอร์ที่ไทย หรือสมัครมหาลัยในเมกา
SAT นี่แหละคือหัวใจสำคัญ
(แถมถ้าใครอยากได้ Scholarship ขอบอกว่า SAT นี่แหละ สำคัญมากกก)
ฉะนั้นมาเริ่มกันดีกว่า ส่วนแรกคือ Critical reading
ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ คำศัพท์(เติมคำ) และ Text
ส่วนของคำศัพท์ สิ่งที่อยากแนะนำคือ ให้ท่องศัพท์
ถ้ามีเวลาก็ท่องพวก 3400-3500 คำ และอีกสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือ การทำโจทย์ให้เป็น
เพราะบางทีแปลศัพท์ออกแต่เติมผิดก็มี….
มาดูตัวอย่างกันนะ
The population’s ……………………….complacency with regard to the risks involved in investing in the stock market was an indication of the hubris of an age in which most people had never experienced real ……………….
a disturbing / despondency
b remarkable / wealth
c ingenious / affluence
d excessive/ hardship
e judicious/ poverty
นี่เป็นตัวอย่าง คำศัพท์ดูยากเนอะ คำที่เราต้องรู้ ก็คือ
complacency แปลว่า ความพึงพอใจ
hubris แปลว่าอวดดี (เป็นชื่อเทพเจ้าองค์หนึี่งในตำนานกรีก โรมัน)
เวลาทำ เจอเติมคำ 2 ช่อง ให้แบ่งทำทีละช่อง
ช่องแรก ความหมายจะต้องเหมือนกับคำว่า hubris
ฉะนั้น ช่องแรกที่มีความหมายแนวอื่นก็ตัดทิ้งไป ก็จะเหลือแค่ A กับ D
เมื่อลองเติมแล้ว A จะหมายความว่า คำชมที่น่ารำคาญ….แปลกๆ นะ
ลองเติมอีกคำ หมายถึงคำชมที่มากเกินไป ถูกเลย
อันนี้ถือว่าไม่ยาก เพราะดูแค่ตัวหน้าก็ตอบได้แล้ว…..
นี่คือวิธีทำ ประมาณนี้
อีกส่วนคือ Reading คาดว่าเป็นส่วนที่หลายคนกลัวมากๆๆ ไม่ต้องกลัวหรอก มันไม่ยากมาก
1. เราต้องอ่านให้เร็วที่สุด
เพราะส่วนมากเราจะทำไม่ทันกัน
วิธีก็คืออ่านมากๆ ถึงมากที่สุด (อ่านหนังสือภาษาอังกฤษนะ)
วิธีการอ่านเร็วก็คือ เราต้องเตือนตัวเองว่า เราอ่านเพื่อมาตอบคำถามไม่ใช่อ่านเพื่อความชิลๆ
2.ต้องฝึกตาให้ชินกับหนังสือยากๆ
ที่แนะนำคือ The economist
ไม่ได้หมายความว่าเรื่องในนี้จะออกสอบ อย่าคาดหวัง (เพราะมันไม่ออกหรอก)
แต่ระดับความยากของคำศัพท์ใกล้เคียงกัน
อ่านเจอคำศัพท์ที่ท่องก็ทำให้เราจำได้เร็วขึ้น
3.ทำโจทย์เยอะๆ
4. ถ้าตอบผิด ก็ต้องอ่านเฉลยจนเข้าใจ
ห้ามปล่อยเลยผ่าน อย่างเช่นเลขเป็นส่วนที่เราควรได้เต็ม จริงๆ นะ โดยเฉพาะคนไทย
ไม่ว่าจะเรียนวิทย์หรือศิลป์ก็ควรได้เต็ม
ถ้าไม่เข้าใจก็ต้องหาตัวช่วยทุกวิธี ทั้งเพื่อนที่โรงเรียน ครู พ่อแม่ หรือเว็บบอร์ดที่คุยเรื่อง SAT
เอาโจทย์ไปโพส มีคนช่วยตอบ + คำอธิบายให้ด้วย
5. หาความหมายของศัพท์ แต่ให้หาเมื่อทำแบบฝึกจบแล้ว
หาเสร็จแล้วก็ต้องท่อง อยากจดแยกไว้ในสมุดก็ดี
6. ดวงบางทีก็สำคัญ แต่อย่าหวังพึ่งมาก
7. เว็บที่แนะนำ
คือ www.number2.com สำหรับทำข้อสอบเล่น กับCollegeconfidential.com เป็นบอร์ดสำหรับคุยเรื่องข้อสอบ (แล้วจะเจอเทพอยู่แถวเว็บนี้เยอะ)
เลข
ง่ายแต่อย่าประมาท
ตอนแรกเราอาจรู้สึกนะว่าง่าย แต่ระดับความง่ายจะเรียงไป
คือข้อ 1 ง่ายสุดข้อสุดท้ายยากสุด ฉะนั้นอย่าทำจากหลังมาหน้า….
เวลาทำ ให้อ่านคำถามก่อน แล้วค่อยอ่านโจทย์ทั้งหมด งงมั๊ย?
เพราะบางทีมันเป็นโจทย์ปัญหา ให้ข้อมูลไร้สาระมาเยอะมาก เราจะได้ไม่สับสน
แต่ปัญหาของเราก็คงเป็นคำศัพท์
ฉะนั้นนอกจากต้องท่องศัพท์อังกฤษแล้ว ก็ต้องท่องศัพท์เลขด้วยนะ
วิธีการหาศัพท์ก็คือทำแบบฝึกไปนั่นแหละ แล้วก็จดศัพท์ที่ไม่รู้ออกมา
Writing
ถ้าเข้าจุฬาก็ไม่ใช้ ส่วนเมกา บางที่ใช้ บางที่ไม่ใช้
โดยส่วนนี้จะแบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ
1. การเขียน Essay
2. แกรมม่า – แก้ประโยค/ error
แต่ที่สำคัญก็คือต้องฝึกเขียนทุกวันและจำเวลาด้วย
Essay ต้องเขียนให้เต็มกระดาษ 2 หน้า บรรทัดนึงเขียนสัก 7-9 คำ อย่ามาก-น้อยกว่านี้
จะตกประมาณ 300-400 คำ (มั้ง) ภายในเวลา 20 นาที โหดมากกกกก
ส่วนที่ 2 คือหลักแกรมม่า ต้องท่องให้เป๊ะ
แล้วก็ทำโจทย์มากๆ มันก็วนไปมานั่นแหละ…..
หลักก็ประมาณนี้นะคะ สิ่งที่สำคัญสำหรับ SAT คือทำมากๆ
สำหรับใครอยากอยากอ่านเกี่ยวกับ SAT เคยเขียนไว้แล้วใน